⚫️ ตอนที่ 1: น้องอมยิ้ม
1- “แม่ปุ๊ก” อายุ 30 ปี อยู่ที่ดอนเมือง กรุงเทพฯ มีอาชีพขายของออนไลน์ เริ่มเป็นที่รู้จักในโซเชียลมีเดียเมื่อปลายปี 2560 โดยแม่ปุ๊กบอกว่าตัวเองเป็นซิงเกิลมัม เลี้ยงลูกตามลำพัง ส่วนสามีทิ้งไป
2- แม่ปุ๊กมีลูก 2 คน คนโตเป็นผู้หญิงชื่อ “น้องอมยิ้ม” อายุ 3 ขวบ (อายุในตอนนั้น) คนเล็กเป็นผู้ชาย “ชื่อน้องอิ่มบุญ” ปัจจุบันอายุ 3 ขวบ
3- ธันวาคม 2560 หนูยิ้มเริ่มป่วย โดยมีอาการหน้าตาบวม ปากคอบวม และอาเจียน แม่ปุ๊กให้ข้อมูลว่าก่อนหน้านี้น้องทานอาหารทะเลเข้าไป หมอจึงสันนิษฐานว่าน้องแพ้อาหารทะเล
4- แต่หลังจากนั้นหนูยิ้มกลับป่วยเรื้อรัง ไม่หายเสียที และอาการแย่ลงเรื่อย ๆ เริ่มมีอาการเหนื่อยหอบ เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นฟองบ้าง เป็นเลือดบ้าง ความดันสูง เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น
5- ธันวาคม 2561 หมอส่องกล้องพบว่าทางเดินอาหารของหนูยิ้มอักเสบอย่างรุนแรง มีแผลตั้งแต่หลอดลมยาวไปจนถึงกระเพาะอาหาร ทำให้ทางเดินอาหารส่วนต้นบอบช้ำมาก
6- มกราคม 2562 แม่ปุ๊กโพสต์ในเฟซบุ๊ก อ้างว่าหมอบอกว่าหนูยิ้มป่วยเป็น “โรคเรนินโนม่าห์” ซึ่งเป็นโรคประหลาด มีเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น มีค่าใช้จ่ายในการรักษาจำนวนมาก
7- จากนั้นแม่ปุ๊กเริ่มขอความช่วยเหลือจากชาวเน็ตให้ช่วยกันอุดหนุนสินค้าต่าง ๆ ที่แม่ขาย เช่น กล้วยแปรรูป เสื้อผ้า รวมทั้งให้หมายเลขบัญชีเพื่อขอรับบริจาคเป็นค่ารักษาพยาบาลลูกด้วย
8- แม่ปุ๊กมักจะไลฟ์สดให้ผู้ติดตามได้เห็นอาการป่วยของหนูยิ้ม ทำให้หลายคนเสียน้ำตาให้กับความน่ารักและความเข้มแข็งของน้อง ที่แม้จะป่วยหนักแต่ก็ยังยิ้มสู้และช่างเจรจา
9- มีคนให้ความช่วยเหลือจำนวนมาก เพจและสื่อหลายแห่งอาสาเป็นสะพานบุญช่วยบอกต่อ จนเกิดเป็นแคมเปญ “ช่วยหนูยิ้มกลับมายิ้มอีกครั้ง” มีการผลิตกระเป๋าผ้าเพื่อหนูยิ้มออกมาจำหน่าย ไหนจะสินค้าอื่น ๆ และเงินบริจาค ไม่ทราบตัวเลขที่แน่ชัด แต่คาดว่าแม่ปุ๊กน่าจะได้เงินไปหลายล้านบาท
10- ในขณะเดียวกันหนูยิ้มก็อาการทรุดลง ตัวบวมหน้าบวม เดินไม่ได้ หัวใจเต้นเร็ว แล้วในที่สุดหนูยิ้มก็จากไปด้วยภาวะไตวายเฉียบพลันเมื่อสิงหาคม 2562
11- ในวันที่หนูยิ้มเสียชีวิตนั้น แม่ปุ๊กไลฟ์สดเล่านิทานและร้องเพลงกล่อมให้น้องฟังจนน้องจากไป สร้างความสะเทือนใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก
12- หลังหนูยิ้มเสียชีวิต แม่ปุ๊กก็โกนหัวบวชชี 1 เดือน พร้อมกับมีดราม่าเกิดขึ้น เมื่อมีหลายคนออกมาบ่นว่า สั่งซื้อของจากแม่ปุ๊กและโอนเงินไปแล้ว แต่ไม่ได้ของ พอทวงถามแม่ปุ๊กก็บ่ายเบี่ยง
13- แต่คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ของ เลือกที่จะไม่ติดตามทวงถามอย่างจริงจัง เพราะคิดเสียว่าเป็นการทำบุญ ทำให้เรื่องนี้เงียบไป แต่ก็มีหลายคนเริ่มตั้งข้อสังเกตในพฤติกรรมของแม่ปุ๊ก
—————
⚫️ ตอนที่ 2: น้องอิ่มบุญ
14- ต้นปี 2563 แม่ปุ๊กเริ่มโพสต์เรื่องการล้มป่วยของน้องอิ่มบุญ ลูกชายคนเล็กอีก โดยอาการป่วยคล้ายกับอาการของหนูยิ้มมาก เช่น อาเจียนเป็นเลือด ตัวบวม หลายคนมองว่าอาจเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ แต่ก็มีบางคนเริ่มมองแม่ปุ๊กด้วยความกังขา
15- แม่ปุ๊กขอความช่วยเหลือด้วยการขอให้อุดหนุนสินค้าต่าง ๆ ของแม่อีกครั้ง มีการทำกระเป๋าผ้าออกมาจำหน่าย รวมทั้งสินค้าอื่น ๆ เช่น หน้ากากผ้า ทั้งยังเปิดรับเงินบริจาคด้วย ซึ่งก็มีคนจำนวนมากที่เห็นใจในชะตากรรมของแม่ปุ๊กกับลูก ส่งความช่วยเหลือไปให้อีกเช่นเคย
16- แม่ปุ๊กมักจะโพสต์อัปเดตอาการป่วยของน้องอิ่ม และบิลล์ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งโพสต์ตัดพ้อว่าอยากขายไต หรือเฉือนเนื้อตัวเองไปขายมารักษาลูก
17- แต่การสั่งซื้อสินค้าจากแม่ปุ๊กก็เกิดปัญหาเดิมอีก คือโอนเงินแล้วไม่ได้ของ เมื่อลูกค้าทวงถาม แม่ปุ๊กก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่อย ๆ เช่น อ้างว่าตัวเองป่วย เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด โทรศัพท์ไม่มีเน็ต ฯลฯ
18- พร้อมกันนั้นก็เริ่มมีคนตั้งข้อสังเกตเรื่องน้องอิ่ม เช่น เมื่อมีคนเสนอให้พาน้องไปรักษากับแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญ แม่ปุ๊กกลับไม่รับข้อเสนอ ส่วนเฟซบุ๊กของแม่ก็เริ่มปิดบ้างเปิดบ้างจนผิดสังเกต
19- คนที่ติดตามและให้ความช่วยเหลือมาตั้งแต่กรณีหนูยิ้มเริ่มสงสัยว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าแม่ปุ๊กวางยาลูกทั้งสองคนเพื่อขอเงินบริจาค
20- ข่าวนี้หนาหูขึ้นเรื่อย ๆ จนมีคนเอาเรื่องนี้ไปโพสต์ และมีคนไปถามแม่ปุ๊กว่าจริงหรือไม่ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 แม่ปุ๊กจึงไปแจ้งความว่ามีบุคคล 2 คน โพสต์เฟซบุ๊กโจมตีเธอว่าวางยาลูกเพื่อรับเงินบริจาค
21- แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนไปแจ้งความจับแม่ปุ๊กในข้อหาฉ้อโกงด้วยเช่นกัน เนื่องจากโอนเงินแล้วไม่ได้ของ พร้อมกับมีข่าวแพร่สะพัดว่า หนูยิ้มและน้องอิ่มอาจไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของแม่ปุ๊ก
—————
⚫️ ตอนที่ 3: เมื่อแพทย์เริ่มสงสัย
22- ในเวลาเดียวกัน แพทย์ได้ตรวจร่างกายน้องอิ่มอย่างละเอียด พบสารเคมีที่ออกฤทธิ์เป็นกรด ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส คล้ายสารเคมีที่เป็นส่วนผสมของน้ำยาล้างห้องน้ำหรือน้ำยาซักฟอก เข้าสู่ร่างกายโดยการกลืนเข้าไป ทำให้มีแผลในปาก ลำไส้ และกระเพาะอาหาร
23- เมื่อแพทย์เอะใจจึงกลับไปตรวจสอบเคสของหนูยิ้มใหม่อีกครั้ง พบว่ามีอาการเหมือนกัน และอวัยวะภายในถูกกัดกร่อนเช่นเดียวกัน
24- ทีมแพทย์สงสัยพฤติกรรมของผู้เป็นแม่ จึงตัดสินใจนำหลักฐานเข้าแจ้งความกับตำรวจ และสืบสวนเพิ่มเติมจนพบว่ามีลักษณะของการแสวงหาประโยชน์จากเด็กชัดเจน
25- ทั้งหมดนี้นำไปสู่การตรวจสอบสูติบัตรของหนูยิ้ม พบว่าแม่ปุ๊กไม่ได้เป็นแม่เด็ก และไม่สามารถตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงได้ ส่วนสูติบัตรของน้องอิ่ม ระบุว่ามารดาคือแม่ปุ๊ก ไม่มีชื่อบิดา แต่ไม่ปรากฏประวัติการฝากท้อง
—————
⚫️ ตอนที่ 4: จับกุมแม่ปุ๊ก
26- วันที่ 18 พฤษภาคม 2563 ตำรวจกองปราบเข้าจับกุมตัวแม่ปุ๊กใน 5 ข้อหา โดย 3 ข้อหาแรกเกี่ยวกับเรื่องลูก อีก 2 ข้อหาเป็นเรื่องฉ้อโกง ดังนี้
.
ข้อหาที่ 1 รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ
ข้อหาที่ 2 พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ข้อหาที่ 3 ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย
ข้อหาที่ 4 ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น
ข้อหาที่ 5 ฉ้อโกงประชาชน
27- เท่าที่มีข้อมูลพบว่าแม่ปุ๊กกระทำคนเดียว แต่ยังไม่ยืนยันว่าเธอมีอาการทางจิตหรือไม่ แล้วยังพบว่าแม่ปุ๊กเคยเปลี่ยนชื่อมาแล้ว 4 ครั้ง ส่วนเฟซบุ๊กของเธอตอนนี้ปิดไปแล้ว
28- ส่วนเรื่องที่ว่าน้องอิ่มเป็นลูกของแม่ปุ๊กหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ต้องพิสูจน์ด้วยการตรวจดีเอ็นเอ และต้องได้รับความยินยอมจากมารดา แต่แม่ปุ๊กไม่ยอมให้ตรวจ จึงต้องร้องขออำนาจจากศาล
29- เบื้องต้นจากการสอบสวน แม่ปุ๊กไม่ยอมรับเรื่องวางยาลูก แต่ยอมรับสารภาพข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตอนนี้แม่ปุ๊กถูกฝากขังอยู่ที่เรือนจำคลองเปรม ศาลคัดค้านการประกันตัว
30- เฉพาะข้อหาฉ้อโกงประชาชนนั้น มีผู้หลงเชื่อสั่งซื้อสินค้าและบริจาคเงินช่วยเหลือกว่า 3,000 ราย มีการโอนเงินกว่า 8,000 ครั้ง รวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท
31- ส่วนน้องอิ่มตอนนี้อาการดีขึ้นและออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว น้องได้รับการดูแลให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย ภายใต้ความดูแลของกรมกิจการเด็กและเยาวชน
32- ส่วนพ่อของแม่ปุ๊กไม่เชื่อว่าลูกสาวจะทำอย่างนี้ คิดว่าลูกถูกปรักปรำหรือหมอตรวจผิดพลาด แต่ยอมรับว่าเพิ่งรู้วันนี้ว่าหนูยิ้มไม่ใช่หลาน ไม่ทราบว่าลูกสาวไปรับเลี้ยงมาจากไหน แต่ยืนยันว่าน้องอิ่มเป็นหลานแน่นอน เพราะตนเป็นคนไปส่งโรงพยาบาลตอนคลอด